ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (24 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ส่วนดัชนี Nasdaq ดิ่งลงกว่า 1% เนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,411.21 จุด เพิ่มขึ้น 260.88 จุด หรือ +0.67%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,447.87 จุด ลดลง 16.75 จุด หรือ -0.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,496.82 จุด ลดลง 192.54 จุด หรือ -1.09%
เอ็ด คลิสโซลด์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท Ned Davis Research กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปในลักษณะหมุนเวียนการลงทุน โดยนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหันไปซื้อหุ้นคุณค่า (Value Stocks) เช่นหุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสาธารณูปโภค โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
ขณะที่แจ็ค จานาซีวิคซ์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท Natixis Investment Managers แสดงความเห็นว่า นักลงทุนเทขายหุ้นที่เคยทำผลงานโดดเด่นในตลาด และหันไปซื้อหุ้นที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐในวันศุกร์นี้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหนักสุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยดิ่งลง 2.07% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวลง 0.74% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุด โดยดีดตัวขึ้น 2.73% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น 1.25%
หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ร่วงลง 6.68% และเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันวันที่ 3 เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากหุ้นอินวิเดียพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งและมีมาร์เก็ตแคปแซงหน้าไมโครซอฟท์ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา
หุ้นบริษัทผลิตชิปรายอื่น ๆ ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง โค (TSMC) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ, หุ้นบรอดคอม, หุ้นมาร์เวลล์ เทคโนโลยี และหุ้นควอลคอมม์ ปรับตัวลงราว 3.53% – 5.7% ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มชิปร่วงลงกว่า 3%
อย่างไรก็ดี หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ดีดตัวขึ้น 0.8% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า เมตาซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กกำลังเจรจากับบริษัทแอปเปิ้ลเกี่ยวกับการนำโมเดลเจเนอเรทีฟ เอไอ (Generative AI) ของเมตามาใช้ใน “Apple Intelligence” ซึ่งเป็นระบบ AI ใหม่ล่าสุดสำหรับผลิตภัณฑ์ iPhone ขณะที่หุ้นแอปเปิ้ลดีดตัวขึ้น 0.3%
ตลาดได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกคาดว่าจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนก.ย.
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไปซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนเม.ย. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงานจะเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนเม.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่นักลงทุนจับตาในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2567, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales)
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูการดีเบตยกแรกระหว่างนายโจ ไบเดน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ เพื่อชิงชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งจะมีขึ้นในเดือนพ.ย.
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์