ทรัมป์เป็นผู้ชนะในดีเบตยกแรก
Gold Bullish
– ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
– ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
– ความต้องการทองจากกระแส De-Dollarization
Gold Bearish
– เงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย
– ตลาดคาดว่าเฟดตรึงดอกเบี้ยสูงนานขึ้น
ทองคำยังเคลื่อนไหวเหนือ 2,300 ดอลลาร์ ทรัมป์เป็นผู้ชนะในดีเบตยกแรก
สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีแรงขายออกมาทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงหลุดแนวรับ 2,300 ดอลลาร์ แต่ก็มีแรงซื้อกลับมาทดสอบแนวต้าน 2,340 ดอลลาร์ ทั้งนี้ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับ 2,300 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่ายังคงมีแรงซื้ออย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วงสัปดาห์ก่อนมีประเด็นสำคัญหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวเลข Core PCE เดือนพ.ค.ของสหรัฐที่ออกมาตามตลาดคาด แต่นักลงทุนมีการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดเร็วขึ้นกว่าเดิม โดยคาดว่ามีโอกาสที่เฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. และปีนี้เฟดอาจจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวมถึงนักลงทุนติดตามการดีเบตครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงวันศุกร์ช่วงเช้าตามเวลาไทย และการเลือกตั้งฝรั่งเศสในวันอาทิตย์
ทั้งนี้ประเด็นสำคัญหลังจากการดีเบตครั้งแรกที่เกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็หนีไม่พ้นกับคะแนนความนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์มากขึ้น ขณะที่ผลการสำรวจของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น พบว่า ชาวอเมริกันซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์การแสดงวิสัยทัศน์จำนวน 67% ให้นายทรัมป์เป็นฝ่ายชนะการแสดงวิสัยทัศน์ เมื่อเทียบกับก่อนการดีเบต ชาวอเมริกันจำนวน 55% คาดว่านายทรัมป์จะเป็นฝ่ายชนะ แม้ว่าสมาชิกพรรคเดโมแครตจะผิดหวังจากผลงานการดีเบตในยกแรกของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถชนะนายโดนัลด์ ทรัมป์ในศึกการเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ความนิยมในตัวทรัมป์มีมากกว่าเดิม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล 16 รายได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่อภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้
เพราะถ้าพิจารณาถึงนโยบายความเป็นไปได้ของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการกีดกันการค้าโดยเฉพาะกับจีนและประเทศอื่นๆ โดยทรัมป์ได้เสนอให้ลดภาษีนิติบุคคลเป็นการถาวร และเคยออกมาประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าที่มากกว่า 60% สำหรับสินค้าทุกชนิดของจีน และอาจยกเว้นสินค้านำเข้าที่จำเป็นของจีน และมีการขึ้นภาษี 100% ที่นำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกของบริษัทจีน การขึ้นภาษีการค้าที่ค่อนข้างสูง อาจส่งผลต่อ Trade war ที่ค่อนข้างรุนแรง และอาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มสูงขึ้นได้มากกว่าตอนไบเดน อาจทำให้เกิด Supply Chain Disruption และอาจทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าสูงขึ้น อาจส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นด้วย นักลงทุนจึงนิยมถือครองทองคำในช่วงที่มีความไม่แน่นอนเพื่อป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ทรัมป์สนับสนุนนโยบายปรับลดดอกเบี้ย และอาจมีการนำ Gold standard นำกลับมาใช้ หากมีการนำกลับมาใช้จริง อาจทำให้ราคาทองคำจะแพงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่เราคิดว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะนำ Gold standard กลับมาใช้ เพราะปริมาณทองมีไม่เพียงพอกับปริมาณการค้าโลก หากนำกลับมาใช้จริงจะส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ และอาจก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา ซึ่งนโยบายของทรัมป์ต่างๆ มีโอกาสที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อสูง แต่อัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งนำไปสู่แนวโน้มทองคำเป็นเทรนขาขึ้นในระยะยาว
ซึ่งเรายังคงมองว่าราคาทองคำยังคงน่าสนใจในระยะยาว ไม่ว่าจะหลายปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงคราม และหากนายโดนัลด์ ทรัมป์มีโอกาสชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ อาจส่งผลปัจจัยเชิงบวกต่อราคาทองคำมากกว่าที่ไบเดนชนะการเลือกตั้ง เพราะจะนำไปสู่ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงได้อีกครั้ง ทั้งนี้เรายังคงมองว่าในช่วงไตรมาส 3 นี้เป็นช่วงจังหวะที่ดีของการเข้าทยอยสะสมทองคำ หากราคาทองคำปรับตัวลง แนะนำทยอยเข้าซื้อทองคำ โดยอาจมองที่แนวรับของราคาทองคำ spot ที่ 2,280 ดอลลาร์ และแนวรับ 2,260 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวรับที่อาจเข้าซื้อทองคำได้
ส่วนสัปดาห์นี้คาดว่าราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,300 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปคือ 2,280 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,340 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,360 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 40,100 บาท และ 40,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 40,600 บาท และ 40,800