3 ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำในเดือนส.ค.
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ความต้องการทองจากกระแส De-Dollarization
- ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.
Gold Bearish
- เงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
จับตา 3 ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำในเดือนส.ค.
ปัจจัยแรก ยังคงเป็นเรื่องทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ ซึ่งล่าสุดประธานเฟดได้ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ยังคงเป็นแรงหนุนต่อราคาทองคำให้มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่มุมมองของตลาดที่มีต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่ง ณ ตอนนี้ตลาดมองว่าเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้เป็นจำนวน 3 ครั้ง นั่นก็หมายถึงว่า ทุกการประชุมที่เหลือของเฟด ซึ่งเฟดก็เหลือการประชุมทั้งหมด 3 ครั้ง แสดงว่าเฟดอาจมีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยในทุกการประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนส.ค. แม้ว่าจะไม่มีการประชุมเฟดในเดือนนี้ แต่ต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตลาดแรงงานสหรัฐ และเงินเฟ้อสหรัฐ ที่อาจส่งผลให้มุมมองของตลาดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอีกหรือไม่? ซึ่งมุมมองของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอาจส่งผลต่อในแง่เชิงบวกหรือลบต่อราคาทองคำได้
ปัจจัยต่อมา ในวันที่ 19-22 ส.ค.นี้ จะมีการประชุมของพรรคเดโมแครต ซึ่งต้องติดตามว่าว่าคามาลา แฮร์ริส จะได้รับการยอมรับจากคนในพรรคหรือไม่? เพื่อเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า คามาลา แฮร์ริสจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ โดยหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้สนับสนุนคามาลา แฮร์ริส ยอดบริจาคเงินสนับสนุนได้พุ่งสูงมากที่สุดทำลายสถิติในอดีตที่ผ่านมา นอกจากนี้ เจมี แฮร์ริสัน ประธานคณะกรรมแห่งชาติของเดโมแครต ชี้ว่าคามาลา แฮร์ริสได้รับคะแนนจากคณะเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตมากพอที่จะเป็นตัวแทนพรรคชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากการโหวตลงคะแนนแบบออนไลน์ของคณะเลือกตั้ง ซึ่งเธอได้รับคะแนนโหวตไปแล้ว 2,350 คะแนน โดยคะแนนเสียงมากพอที่จะรับรองแฮร์ริสเป็นตัวแทนพรรคอย่างไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ ผลสำรวจล่าสุดของหลายสำนักชี้ว่า คะแนนความนิยมของคามาลา แฮร์ริสได้แซงนำนายโดนัลด์ ทรัมป์ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาการดีเบตอีกครั้งในเดือนก.ย. ทั้งนี้นโยบายของแฮร์ริสจะแตกต่างกับนโยบายของทรัมป์อย่างสิ้นเชิง โดยแฮร์ริสมีมุมมองค่อนข้างต่อต้านการค้าเสรีมากกว่าไบเดน ซึ่งคัดค้านข้อตกลงการค้าการค้าสำคัญสองฉบับ ได้แก่ ข้อตกลงสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) และความร่วมมือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก (TPP) ขณะที่บทบาทในต่างประเทศของแฮร์ริส แฮร์ริสต้องการให้สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาสกลับเข้ามาโต๊ะการเจรจา ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน แฮร์ริสก็ยังสนับสนุนช่วยเหลือยูเครนต่อไป นอกจากนี้ นโยบายจากพรรคแดโมแครตต้องการขึ้นภาษี เพื่อรัฐบาลมีรายได้มากขึ้น ซึ่งแฮร์ริสเสนอให้ยกเลิกการลดหย่อนภาษีของทรัมป์ปี 2017 ขณะที่ในช่วงที่ไบเดนเป็นรัฐบาล ทั้งไบเดนและแฮร์ริสสนับสนุนการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 400,000 ดอลลาร์ และยังสนับสนุนการขึ้นภาษีอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้นโยบายของแฮร์ริสอาจเพิ่มภาษีเฉพาะคนรวย และให้เครดิตภาษีคนชั้นกลางและคนยากจน เพราะในช่วงที่เธอดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกเธอเสนอให้เครดิตภาษีอย่างกว้างขวางสำหรับคนที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง ในด้านนโยบายผู้อพยพ มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปฎิรูปนโยบายชายแดนในปัจจุบัน และให้สัญชาติเป็นพลเมืองสำหรับผู้อพยพในสหรัฐ เร่งกระบวนการขอสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศ
อย่างไรก็ตาม มองว่านโยบายของแฮร์ริสจะยังไม่ได้ส่งผลบวกต่อราคาทองคำเท่าไหร่นัก แต่นโยบายของทรัมป์อาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นนโยบายต่างประเทศ จากที่ทรัมป์จะกลับมาให้ความสำคัญกับอเมริกามากกว่าประเทศอื่นๆ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่รุนแรงต่อจีน ความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ การที่ทรัมป์ได้เสนอที่จะลดภาษีนิติบุคคลลงอีกร้อยละ 1 (จากปัจจุบันอัตราภาษีนิติบุคคลที่ 21% เหลือ 20%) อาจส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นต่อเนื่อง การเพิ่มข้อจำกัดของผู้อพยพของนโยบายของทรัมป์ อาจเสี่ยงให้เกิดต้นทุนแรงงานมากขึ้น และมีโอกาสที่เกิดเงินเฟ้อพุ่งสูงได้ ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่คนอเมริกันให้ความสนใจ หลักๆแล้วมีอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่ เงินเฟ้อ ปัญหาผู้อพยพ ประกันสุขภาพ และกฎหมายการทำแท้ง ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจส่งผลต่อชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐครั้งนี้
ปัจจัยสุดท้าย คือความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง หากในระยะนี้มีความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงสู่ระดับ All-Time High ใหม่ได้
ราคาทองคำเกิดสัญญาณซื้อจาก Modified Stochastic และยังไม่เข้าสู่ Overbought และเส้น MACD ยังคงตัด Signal line ขึ้นมา ทำให้ยังคาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ แม้ว่าการปรับตัวขึ้นอาจมีแรงเทขายทำกำไรออกมา แต่เป็นการย่อเพื่อปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยราคาทองคำมีแนวต้าน 2,483 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,500 ดอลลาร์ และราคาทองคำมีแนวรับ 2,420 ดอลลาร์ และ 2,400 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 40,500 บาท และ 40,200 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 41,000 บาท และ 41,300 บาท