ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (9 ก.ค.) แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดทำนิวไฮ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อสภาคองเกรสว่า การที่เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานเกินไปอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,291.97 จุด ลดลง 52.82 จุด หรือ -0.13%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,576.98 จุด เพิ่มขึ้น 4.13 จุด หรือ +0.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,429.29 จุด เพิ่มขึ้น 25.55 จุด หรือ +0.14%
ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 6 และดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 5
นายพาวเวลได้แถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐเมื่อวานนี้ว่า “แม้มีความคืบหน้าในการปรับลดเงินเฟ้อและลดความร้อนแรงในตลาดแรงงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อไม่ใช่ความเสี่ยงประการเดียวที่เราเผชิญ แต่การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ช้าเกินไปหรือน้อยเกินไปอาจสร้างความอ่อนแอต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน”
นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า “เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับตลาดแรงงาน แม้มีการชะลอตัวลงบ้างในช่วงที่ผ่านมา ส่วนเงินเฟ้อได้ชะลอตัวลง ในขณะเดียวกันเฟดยังคงมีความมุ่งมั่นในการทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมาย 2% โดยตัวเลขเงินเฟ้อรายเดือนครั้งล่าสุดได้แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้า และถ้าหากยังคงมีข้อมูลที่ดีปรากฎออกมาอีก ก็จะช่วยให้เฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังปรับตัวไปสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน”
แม้ถ้อยแถลงดังกล่าวของนายพาวเวลไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้งในปีนี้ โดยให้น้ำหนักเกือบ 72% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนก.ย. เทียบกับการให้น้ำหนักที่ระดับต่ำกว่า 50% ในเดือนที่แล้ว
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลแคร์ปรับตัวขึ้น 0.65% และ 0.43% ตามลำดับ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.01% รองลงมาคือดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง 0.94%
หุ้นอินวิเดียพุ่งขึ้น 2.5% ปิดที่ระดับ 131.38 ดอลลาร์ หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัท KeyBanc ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นอินวิเดียขึ้นสู่ระดับ 180 ดอลลาร์ โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นอินวิเดียเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq
ส่วนหุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 3.7% ส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาปรับตัวขึ้น 5% ในปี 2567
หุ้นเจพีมอร์แกน และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ดีดตัวขึ้นกว่า 1% ขณะที่หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.8% ก่อนที่ธนาคารทั้ง 3 แห่งจะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2567 ในวันศุกร์นี้
ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 จะมีกำไรต่อหุ้นโดยรวมเพิ่มขึ้น 10.1% ในไตรมาส 2 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 8.2% ในไตรมาส 1
นักลงทุนยังคงจับตานายพาวเวลซึ่งมีกำหนดแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (10 ก.ค.) พร้อมกับรอดูตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนมิ.ย.ในวันพฤหัสบดีนี้ (11 ก.ค.) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนมิ.ย.ในวันศุกร์ (12 ก.ค.)
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์