ทองคำช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางอย่างไร
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามอิสราเอล-ฮามาส
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ความต้องการทองจากกระแส De-Dollarization
Gold Bearish
- เงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย
- ตลาดคาดว่าเฟดตรึงดอกเบี้ยสูงนานขึ้น
ทองคำช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางอย่างไร
จับตา 2 ประเด็นที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ ประเด็นแรกเกี่ยวกับดอกเบี้ยสหรัฐ การประชุมเฟดเดือนมิ.ย.ล่าสุด ได้เห็นการส่งสัญญาณของเฟดจากข้อมูล Dot plot ว่าเฟดอาจจะลดดอกเบี้ยปีนี้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น นั้นหมายความว่าเฟดก็ยังไม่แน่ใจว่า เงินเฟ้อสหรัฐจะชะลอตัวลงตามเป้าหมายของเฟดหรือไม่? นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แถลงว่า Fed needs more good data to be able to cut rates สะท้อนถึงความไม่แน่ใจในทิศทางอัตราเงินเฟ้อ และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม ก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อสหรัฐ ที่อาจเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินนโยบายทางการเงินของเฟด ที่ผ่านมาเงินเฟ้อสหรัฐมีการชะลอตัวลง แต่ยังไม่มากพอสู่ระดับเป้าหมายของเฟด เมื่อใดที่เฟดเห็นว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลง และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสนับสนุน เฟดอาจจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ย แต่ถ้าเมื่อใดที่เฟดยังคงมีความไม่แน่ใจต่อเงินเฟ้อที่จะชะลอตัวลงได้จริงหรือไม่ เฟดยังคงตรึงดอกเบี้ยที่ระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกดดันราคาทองคำในระยะแรก ๆ แต่อย่างไรแล้วการตรึงดอกเบี้ยด้วยเหตุผลเงินเฟ้อที่สูง ยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ แต่กรณีนี้เฟดจะตรึงดอกเบี้ยสูงนานเท่าไหร่ เพราะว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอาจจะไม่ทนต่ออัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นระยะเวลานานได้ ขอยกตัวอย่าง debt ceiling ของสหรัฐที่ ณ ขณะนี้พุ่งสูงแตะ 34.8 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วถ้ามาคำนวณดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นของสหรัฐก็คงเสียดอกเบี้ยไม่ใช่น้อย ๆ และอย่างบริษัทเอกชน หรืออื่นๆที่ต้องกู้เงินมาแล้วจ่ายดอกเบี้ยค่อนข้างสูง บริษัทเหล่านั้นจะมีกำลังพอที่จ่ายดอกเบี้ยได้สูงนานแค่ไหน ซึ่งตรงนี้มันอาจนำไปสู่แกนบังคับให้เฟดจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย เพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ก็จะนำไปสู่การเกิด stagflation เงินเฟ้อสูง แต่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งหากเกิดภาวะ stagflation ทองคำก็ยังบวกต่อได้
ส่วนประเด็นที่ 2 เราให้น้ำหนักกับการเลือกตั้งสหรัฐจะเข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพราะอาจส่งผล affect ต่อราคาทองคำค่อนข้างมาก ด้วยบุคลิกของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือแม้แต่นโยบายของทั้งสองพรรคทั้งพรรคแดโมแครตและรีพับลิกัน ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อทองคำมากกว่า เนื่องจากถ้าพิจารณานโยบายของแต่ละพรรค ณ ตอนนี้จากผลสำรวจของ RealClearPolitics พบว่านายโดนัลด์ ทรัมป์มีคะแนนความนิยมนำประธานาธิบดีโจ ไบเดนอยู่เล็กน้อย ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์เน้นการปรับลดอัตราภาษีเป็นหลัก ซึ่งจะมีอัตราภาษีบุคคลธรรมดาที่จะหมดอายุลงในปี 2025 แต่คาดว่าทรัมป์อาจจะเลื่อนระยะเวลาในการปรับลดภาษีที่จะหมดอายุลงออกไป การลดภาษีของทรัมป์ จะช่วยการสนับสนุนการบริโภคของสหรัฐ ช่วยส่งผลให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ทรัมป์อาจออก Bond มากขึ้น แต่ตอนนี้หนี้สาธารณะสูงมากกว่าตอนที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งช่วงนั้นมาก อาจเพิ่มโอกาสความเสี่ยงมากขึ้น แม้แต่ Trade war ที่ค่อนข้างรุนแรงของทรัมป์กว่าไบเดนมาก ทรัมป์จะเก็บภาษีนำเข้าที่มากกว่า 60% สำหรับสินค้าทุกชนิดของจีน และอาจยกเว้นสินค้านำเข้าที่จำเป็นของจีน และอาจขึ้นภาษี 100% ที่นำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกของบริษัทจีน และอาจจะมีการกำหนดข้อจำกัดของจีนในการถือครองโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผล affect อย่างมากกว่าที่ไบเดนทำ ทั้งนี้การขึ้นภาษีการค้าที่ค่อนข้างสูง อาจส่งผลต่อ Trade war ที่ค่อนข้างรุนแรง และอาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มสูงขึ้นได้มากกว่าตอนไบเดน อาจทำให้เกิด Supply Chain Disruption และทำให้ราคาสินค้าสูง เกิดเงินเฟ้อสูง นอกจากนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์อาจมีการนำ gold standard นำกลับมาใช้ หากมีการนำกลับมาใช้จริง อาจทำให้ราคาทองคำจะแพงขึ้นเป็นอย่างมาก และนายโดนัลด์ ทรัมป์อาจมีส่วนสนับสนุนให้สงครามรุนแรงขึ้นในฉนวกกาซา ซึ่งอาจส่งผลต่อ demand ทองคำที่ยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะสงครามได้ การจำกัดอพยพย้ายถิ่นฐาน อาจทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น และส่งผลต่อเงินเฟ้อสูง ซึ่งนโยบายของทรัมป์ต่างๆ มีโอกาสที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อสูง แต่อัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งนำไปสู่แนวโน้มทองคำเป็นเทรนขาขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้ 2 ประเด็นต่างหนุนให้ทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงขึ้นต่อได้โดยเฉพาะไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ส่วนไตรมาสที่ 3 เป็นช่วงจังหวะที่ดีของการเข้าทยอยสะสมทองคำ
หากราคาทองคำยังไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้าน 2,345 ดอลลาร์ขึ้นไปได้ อาจมีแรงเทขายออกมา แต่คาดว่าอาจปรับตัวลงไม่มากนัก ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบ 2,300-2,350 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,345-2,350 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,360 ดอลลาร์ และแนวรับ 2,300 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 40,100 บาท และ 40,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 40,600 บาท และ 40,800 บาท