ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (21 เม.ย.) หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,808.96 จุด เพิ่มขึ้น 22.34 จุด หรือ +0.07%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,133.52 จุด เพิ่มขึ้น 3.73 จุด หรือ +0.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,072.46 จุด เพิ่มขึ้น 12.90 จุด หรือ +0.11%
แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.2% หลังปรับตัวขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกัน, ดัชนี S&P500 ลดลง 0.1% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.4%
บรรยากาศการซื้อขายยังคงถูกกดดัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทจดทะเบียน
ข้อมูลจาก Refinitiv IBES ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะรายงานตัวเลขกำไรลดลง 5.2% ในไตรมาส 1/2566 หลังจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 1.4% ในไตรมาสดังกล่าว
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า กิจกรรมทางธุรกิจในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนเม.ย. แตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี ซึ่งข้อมูลใหม่นี้ทำให้คาดการณ์ได้ยากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะดำเนินนโยบายการเงินอย่างไรในอนาคต โดยในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวได้ไม่ดีนัก ซึ่งทำให้สถานการณ์ไม่มีความแน่นอน
เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน จากระดับ 52.3 ในเดือนมี.ค.
ดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจของสหรัฐมีการขยายตัว โดยได้ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 50.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 49.2 ในเดือนมี.ค. และดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 53.7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน จากระดับ 52.6 ในเดือนมี.ค.
การคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่สดใสได้ช่วยหนุนตลาด โดยหุ้นเอชซีเอ เฮลท์แคร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทประกอบการด้านโรงพยาบาล พุ่งขึ้นราว 4% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ และได้ช่วยหนุนหุ้นผู้ประกอบการโรงพยาบาลอื่นๆ ขึ้นด้วย
หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล พุ่งขึ้น 3.5% หลังปรับเพิ่มยอดขายและผลกำไรในอนาคต เนื่องจากลูกค้ายังคงซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัท แม้มีการปรับขึ้นราคาก็ตาม
แต่หุ้นกลุ่มวัสดุปรับตัวลง 0.9% สวนทางตลาด และเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงมากที่สุดในดัชนี S&P500 โดยถูกกดดันจากการร่วงลง 4.1% ของหุ้นฟรีพอร์ต-แมคโมแรนหลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกลดลง และหุ้นอัลเบมาร์ล คอร์ปซึ่งร่วงลง 10% หลังชิลีเปิดเผยแผนการที่จะเข้าควบคุมอุตสาหกรรมลิเทียม
สำหรับทิศทางของตลาดในสัปดาห์นี้ บรรดานักลงทุนจะรอดูการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์